ตรวจเอดส์ 14 วัน ผลที่ได้จะมีความน่าเชื่อถือหรือไม่
ในปัจจุบันการติดเชื้อ HIV ดูจะเป็นเรื่องใกล้ตัวมากกว่าที่เราคาดคิด หล่ยคนยังไม่ทราบว่าเราต่างก็มีโอกาสเสี่ยงได้รับเชื้อ HIV จากิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และการตรวจคัดกรองเบื้องต้นก็สามารถช่วยให้เราพ้นจากภาวะความเสี่ยงที่เชื้อ HIV จะพัฒนากลายไปเป็นโรคเอดส์ (AIDS) เป็นภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อ HIV หลายคนที่กว่าจะทราบว่าป่วยเป็นโรคติดเชื้อ HIV ก็ในตอนที่ระดับของโรคอยู่ในระยะเอดส์แล้ว ดังนั้นการคัดกรองหรือตรวจเชื้อ HIV ในเบื้องต้นด้วยตนเองหลังจากเผชิญภาวะเสี่ยงจึงเป็นเรื่องที่ช่วยเราได้อย่างมาก
Table of Contents
การตรวจหาเชื้อ HIV ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
โรคเอดส์ (AIDS) เป็นภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อ HIV ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเราได้รับเชื้อ HIV เข้าไปแล้ว ประมาณ 8-10 ปี นั่นก็หมายถึงเราไม่ได้เป็นโรคเอดส์ทันทีที่ได้รับเชื้อ HIV เพราะ การติดเชื้อ HIV ต้องใช้เวลาอีกนานหลายปีจนพัฒนากลายเป็นโรคเอดส์ ซึ่งจะมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจนเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆมากมาย จนนำไปสู่อันตรายถึงชีวิต ดังนั้นการตรวจเจอเชื้อ HIV อย่างรวดเร็วจะช่วยในการรักษาได้อย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV ได้อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้เราได้เข้าสู่กระบวนการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมเพื่อหยุดการแพร่กระจายเชื้อเอชไอวี และเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเอชไอวีพัฒนาไปสู่ระยะโรคเอดส์ได้ เมื่อเราคิดว่าเรามีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ HIV เราก็ควรที่จะหาวิธีในการตรวจการติดเชื้อให้เร็วที่สุด เพื่อให้เราสามารถรักษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม อย่างรวดเร็ว มาดูกันว่าใครที่ควรตรวจการติดเชื้อ HIV บ้าง
ใครที่ควรตรวจ HIV
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนโดยไม่ได้ป้องกัน หรือไม่มั่นใจในผลเลือดของคู่นอน
- ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศมา
- ผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน
- ผู้ที่สัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งจากผู้ที่เราไม่ทราบผลเลือด
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุที่นำไปสู่การติดเชื้อHIV ได้
- ทารกที่เกิดจากมารดาติดเชื้อHIV เป็นต้น
การตรวจ HIV ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
แม้ว่าเราจะมีโอกาสได้รับเชื้อ HIV จากหลายช่องทางชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นทางเพศสัมพันธ์ ทางเลือดหรือการโดนสารคัดหลั่งของผู้อื่น แต่การตรวจหาเชื้อ HIVก็ยังไม่ได้ถูกระบุไว้ในการการตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไป ดังนั้น หากเรามีความประสงค์จะตรวจหาเชื้อ HIV เราจำเป็นต้องแจ้งสถานพยาบาลเพื่อขอตรวจ หรือเลือกใช้ชุดเทสตรวจหาเชื้อ HIV ซึ่งในปัจจุบันการตรวจหาเชื้อ HIV มีวิธีที่นิยม ดังนี้
การตรวจหาแอนติเจนของเชื้อ HIV
การตรวจหาแอนติเจนของเชื้อ HIV หรือ HIV p24 antigen testing เป็นการตรวจโปรตีนของเชื้อที่ชื่อว่า p24 ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ตรวจการติดเชื้อในระยะแรก ผู้ได้รับเชื้อยังไม่สร้างแอนติบอดีต่อเชื้อ HIV (Anti-HIV) วิธีนี้สามารถตรวจได้ภายหลังการติดเชื้อประมาณ 14-15 วัน หากตรวจพบแอนติเจนของเชื้อ HIV จะต้องตรวจหาแอนติบอดีของเชื้ออีกครั้ง เมื่อผ่าน 21-30 วัน ที่ได้รับความเสี่ยงมา
การตรวจหาแอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV testing)
การตรวจหาแอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อ HIV หรือ Anti-HIV testing เป็นวิธีที่นิยมใช้ในการตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัส HIV ในปัจจุบัน เพราะให้ผลที่ค่อนข้างแม่นยำแต่สามารถตรวจพบได้หลังการติดเชื้อประมาณ 3-4 สัปดาห์ ทำให้ผู้ที่ได้รับความเสี่ยงส่วนใหญ่เลือกที่จะเทส 14 วันก่อน
การตรวจแบบ Fourth generation (HIV Ag/Ab combination assay)
การตรวจโดยน้ำยาตรวจแบบ Fourth generation เป็นการตรวจโดยใช้ชุดตรวจแอนติบอดีจำเพาะต่อเชื้อ HIV และแอนติเจนของเชื้อพร้อมกันในน้ำยาเดียวกัน (HIV Ag/Ab combination assay) จึงเป็นการตรวจ Anti-HIV และ/หรือ HIV p24 antigen ในคราวเดียว สามารถตรวจพบการติดเชื้อได้เร็วที่สุด 14-15 วัน หรือ 2 สัปดาห์หลังติดเชื้อ ซึ่งปัจจุบันน้ำยาประเภทนี้มีการใช้อย่างแพร่หลายเพื่อตรวจคัดกรองผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ให้ผลที่เชื่อถือได้
การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวีหรือ nucleic acid test (NAT)
เป็นวิธีที่มีความไวมากที่สุด โดยสามารถตรวจการติดเชื้อได้ตั้งแต่ 3-7 วันหลังการติดเชื้อ ปัจจุบันวิธีนี้ใช้ในการตรวจคัดกรองเลือดผู้บริจาคโลหิตแต่ยังไม่นำมาใช้ในการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อเอชไอวีในสถานพยาบาล
ตรวจเอดส์ 14 วัน ผลที่ได้จะมีความน่าเชื่อถือหรือไม่
การตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ HIV จะเป็นการตรวจหาแอนติเจนของเชื้อ p24 Antigen ซึ่งสามารถตรวจเจอหลังได้รับเชื้อมาแล้วประมาณ 10-14 วัน เป็นการตรวจที่จะมีความแม่นยำมากกว่า 95% ที่ประมาณ 1 เดือน ดังนั้นการตรวจหาเชื้อที่ 14 วัน หลังได้รับความเสี่ยงมาก็มีระดับความน่าเชื่อถือที่ค่อนข้างสูง สามารถเชื่อถือได้ เพียงแต่เพื่อความมั่นใจทางที่ดีก็ควรเข้ารับการตรวจซ้ำอีกครั้งที่ 1 เดือน เพื่อยืนยันผลที่แน่ชัด และแนะนำให้ตรวจหา Anti-HIV ไปด้วยเพื่อความเที่ยงตรงมากขึ้น ทั้งนี้การตรวจหาเชื้อ HIV ใน 14 วัน มีจุดเด่นที่รู้ผลเบื้องต้นได้ไวกว่า มีความแม่นยำกว่าระยะ 7 วัน ช่วยให้ผู้ตรวจกำหนดทิศทางในการดูแลตนเอง ลดการแพร่กระจายของเชื้อได้เร็ว สามารถค้นหาสถานที่ตรวจได้จาก https://thaihivmap.com
อย่างไรก็ตามการตรวจหาเชื้อ HIV นั้น แต่ละวิธีหรือแต่ละรูปแบบ ก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน ผู้ที่ต้องการเลือกตรวจสามารถเลือกในรูปแบบที่เหมาะสมกับเราได้ ทั้งนี้ในปัจจุบันมีชุดเทส HIV ในรูปแบบที่สามารถหาซื้อมาตรวจด้วยตนเองที่บ้านได้ ทำให้เกิดความสะดวกและสามารถตรวจเพื่อความมั่นใจ ลดความกังวลของผู้มีความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
One Comment
Comments are closed.